สไตล์การตกแต่งในรูปแบบต่างๆกันออกไป แต่ก็ยังคงความสวยงามเหมาะสม
Moroccan style
เป็นประเทศหนึ่งที่มีความเป็นอารยธรรม ความเป็นชนชาติสูงอย่างเด่นชัด โมร็อกโก นั้นอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และอยู่ทวีปยุโรป มีแนวชายทะเลและทะเลทรายอยู่พื้นที่ของประเทศด้วยการนำเอารูปแบบมาใช้การตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรม อาคารที่มีคอร์ตอาร์ดอยู่ตรงกลางบ้าน มีน้ำพุหินอ่อนที่ถูกโอบล้อมด้วยอาคาร เพื่อปกป้องฝุ่นจากทะเลทราย ฉะนั้นช่องเปิดส่วนมากจะอยู่ภายใน และความโดดเด่นอีกอย่างคือลวดลายประดับของกระเบื้องโมเสก ที่เกิดจากการบรรจงติดอย่างประณีตและใช้ความเป็นศิลปินสูง จึงทำให้เกิดผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่ประทับใจของผู้ที่พบเห็น และนำมาใช้ในการตกแต่ง และสิ่งที่น่าสังเกตได้อีกอย่าง คือ ลวดลายจากผนังโมเสก หรือ พรม แม้กระทั่งการเขียนสีลงบนฝ้าเพดาน จะเห็นได้ว่ามีลวดลายที่เกี่ยวกับพรรณไม้และรูปทรงเรขาคณิต เพราะโมร็อกโกนับถือศาสนาอิสลามในรูปแบบ Moroccan Style มาตกแต่งนั้นลักษณะเด่นของรูปแบบนี้ที่เห็นกันอย่างชัดเจนคือ รูปแบบ Texture ของผนัง ถ้าไม่กรุโมเสกก็ต้องฉาบแล้วถูด้วยฟองน้ำ เพื่อให้ดูไม่สม่ำเสมอ ใช้ผนังโทนสีส้มซึ่งได้มาจากผนังของอาคารในเมืองมาราเกซ โซฟา Built-in เบาะบุด้วยพรมทอสีสดๆ ห้อยด้วยโคมไฟทองเหลืองฉลุอันเป็นเอกลักษณ์ หรือการติดพรมไว้ที่ผนัง ประดับตกแต่งผนังด้วยงานเพ้นต์หลากหลายแต่อย่างหนึ่งที่ไม่ควรนำมาประดับตกแต่งคือรูปภาพหรืองานประติมากรรมที่เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งดูขัดแย้งและไม่เหมาะสมกับการแต่งแบบ Moroccan Style
Mediterranean style Mediterranean
ถือกำเนิดแถบยุโรปตอนใต้ เขตทะเลเมดิเตอร์เนียน ซึ่งในแถบนี้จะมีประเทศสเปน อิตาลี กรีซ ฝรั่งเศสตอนใต้ และยังมีอีกหลายประเทศ ซึ่งกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลแบบเมดิเตอร์เนียนเข้าไปผสมผสาน แม้จะมีการผสมผสานวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ แต่เอกลักษณ์ก็ที่บ่งบอกถึงสไตล์เมดิเตอร์เนียนก็คือความอบอุ่นและสดใส ที่แสดงออกมาบนพื้นผิวความเป็นธรรมชาติของวัสดุ ที่มีความกลมกลืนไป กับธรรมชาติในแถบทะเลเมดิเตอร์เนียน จะสังเกตได้ว่าความหนาของพนังทั้ง 4ด้านที่โอบล้อมคอร์ตกกลางบ้านนั้น ก็เพื่อป้องกันแสงแดดในหน้าร้อน และให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว ส่วนคอร์ตกลางบ้านจะมอบความร่มรื่นและสดชื่นให้กับบ้าน
ลักษณะเด่นของสไตล์เมดิเตอร์เนียนคือ สีสันบนผนังบ้านที่ให้ความรู้สึกสดใส ซึ่งแตกต่างกับในแถบประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลเมดิเตอร์เนียน เช่น กรีซที่เน้นสีขาวตัดตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนอิตาลีก็จะมีลักษณะโทนสีอมส้มของกระเบื้องมุงหลังคา หรือไม่ก็เป็นสีของหินธรรมชาติ มีการปูพื้นด้วนหินธรรมชาติ หรือไม่ก็กระเบื้องดินเผา ที่สลับกับกระเบื้องเขียนลาย ซึ่งบางส่วนมีการใช้กระเบื้องโมเสกเขียนลายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะผืนประดับตกแต่งผนังและการนำผ้าที่ทอลวดลายแบบพื้นถิ่นมาใช้ในการตกแต่งและเสน่ห์ของการตกแต่งสไตล์เมดิเตอร์เนียนที่ดูโดดเด่นก็คือ บริเวณที่พักผ่อนภายนอก หรือ Outdoor Living มักมีระแนงบังแดดที่ต่อออกจากตัวผนังบ้าน ใช้ไม้ธรรมชาติ แสงที่ลอดส่องผ่านลงมาเป็นเงากระทบกับผนัง เฟอร์นิเจอร์จากไม้ดิบๆหุ้มด้วยผ้าที่มี Texture กับบางส่วนที่ใช้หวายมาสานขึ้นรูปให้รูปลวดลายอ่อนหวาน Mediterranean style จึงเป็นอีกรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ มีความเป็นธรรมชาติ และกลมกลืน
แนวทางการตกแต่งแบบ Mediterranean style อย่างแรกที่ต้องนึกถึงคือการปรับผนังเดิมด้วยการฉาบแบบไม่เรียบ ปรับเปลี่ยนพื้นภายในห้องเป็นดินเผาธรรมชาติ หรือกระเบื้องที่มีลักษณะคล้ายหิน ปรับช่องหน้าต่าง หรือเพิ่มให้แสงเข้ามาภายในเพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ เครื่องเรือนไม้ลักษณะแฮนด์เมดเสริมด้วยพรมที่ทำจากวัสดุประเภทปอถัก และจานเพ้นต์ เข้ากันได้ดีกับสไตล์นี้
Sino-Portuguese (ชิโน-โปรตุกีส)
อาจจะเป็นสไตล์ที่ไม่ค่อยได้ยินมากนักสำหรับการตกแต่งบ้าน สถาปัตย์แบบ Sino-Portuguese นั้นได้รับอิทธิพลจากหลากหลายเชื้อชาติมาผสมผสานกับวิถีและวัฒนธรรม เริ่มจากชาวจีนที่มาตั้งรกราก และค้าขายที่มะละกา ประเทศมาเลเซีย เมื่อชาวตะวันตกเข้ามามีอิทธิพล ซึ่งชาวยุโรปที่มาก่อนนั้น คือชาวโปรตุกีส ซึ่งเกิดการนำเอาสถาปัตยกรรมแบบยุโรปมาผสมกับจีน จนเรียกขานกันว่า ชิโน-โปรตุกีส แถบเอเชียที่มีสไตล์นี้คือ มะละกา มาเก๊า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ปีนัง และทางตอนใต้ของประเทศไทย คือภูเก็ต ที่มีหลงเหลือให้เห็น ลักษณะงานของชิโน-โปรตุกีส เป็นอาคารรูปทรงแบบยุโรป มีบัวปูนปั้นแบบยุโรป ช่องบานเปิดของหน้าต่างที่ผสมผสานยุโรปกับจีนเอาไว้ในเรื่องของลวดลายการแสลักประตูแบบจีน และช่องระบายอากาศที่มีเอกลักษณ์ความเป็นจีนผสมอยู่ภายในมักมีคอร์ตอยู่กลางบ้าน และมีแสงธรรมชาติลอดผ่านเข้ามา พื้นใช้วัสดุระหว่างกระเบื้องซีกรีต (กระเบื้องซีเมนต์พิมพ์ลาย) กับหินอ่อน กระเบื้องซีกรีตเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นมาในการตกแต่งแบบชิโน-โปรตุกีส ส่วนผนังบางส่วนมีการตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบแบบเซรามิกซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยาก เนื่องจากกาลเวลาที่มีการแตกหักและเสียหาย ส่วนเครื่องเรือนจะผสมกันระหว่างเฟอร์นิเจอร์แบบ Chinese style กับแบบยุโรป Sino-Portuguese กับแบบยุโรป Sino-Portuguese style จึงมีรูปแบบและเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว มีเสน่ห์และบ่งบอกถึงเรื่องราวของประวัติศาสตร์ กาลเวลา และวัฒนธรรมได้
เป็นการเลือกเครื่องเรือนผสมระหว่างแบบยุโรปแบบจีน ซึ่งเลือกทรงที่มีลักษณะร่วมสมัย การตกแต่งกรอบซุ้มประตู-หน้าต่างแบบยุโรปแต่ใช้บานแบบจีน ผนังบางส่วนตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบลายเลียนแบบกระเบื้องโบราณ โคมไฟรมดำโปะแก้วแบบดัตช์ การประดับตกแต่งด้วยโถ ชาม Blue and White และพรมเปอร์เซีย ซึ่งลวดลายของกระเบื้องและไม้ฉลุนั้น บางที่จะมีลวดลายแบบผสมฟ้า-ขาว ซึ่งผสมกันระหว่างอิสลามกับโปรตุเกส
Thai Contemporary style
คือการดึงเอกลักษณะของการจัดวางอาคารเรือนมาเป็นแนวคิดในการจัดวางเลย์เอาต์ การดึงเอาลักษณะเด่นต่างๆ ที่ประกอบตัวเรือนไทย อย่าง ฝาปะกนช่องแสงหรือกระทั่งประตูลั่นดาน ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการตกแต่งบ้านแบบไทยร่วมสมัยซึ่งปัจจุบันในเมืองหลวงเอง การที่จะมีบ้านเรือนไทยสักหลังก็คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุผลเรื่องการตอบสนองต่อชีวิตความเป็นอยู่ในแบบสมัยใหม่Thai Contemporary style จึงเป็นการผสมผสานเพื่อตอบสนองความลงตัว เครื่องเรือนส่วนใหญ่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งถ้าย้อนไปในอดีต คนไทยยังไม่มีวัฒนธรรมการนั่งเก้าอี้ แต่จะมีธรรมสิกา หรือตั่งสำหรับพระและเจ้านายนั่ง เมื่อถึงยุคที่มีการเปิดรับเอาวัฒนธรรมตะวันตก จึงมีเก้าอี้รับประทานอาหาร ซึ่งเกิดการผสมผสานเข้ากันด้วยลวดลายอันวิจิตร และมีฝีมืออันประณีต ก็เกิดเก้าอี้แบบประยุกต์ รูปแบบเข้ารูปพระธรรม นำมาผสมกับบานเปิดแบบบ้านไทย จึงเกิดตู้แบบไทยประยุกต์ขึ้นได้ ซึ่งรูปแบบไทยประยุกต์นี้เกิดขึ้นจากกระบวนการคิดที่แฝงไว้ถึงความเป็นไทยอย่างลงตัว มากกว่าการเอาชิ้นส่วนของความเป็นไทยไปปะหรือติดไว้Tropical เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในการตกแต่งภายใน โดยเฉพาะประเภทของบ้านพักตากอากาศหรือรีสอร์ท เป็นสไตล์การตกแต่งที่เกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชีย ประเทศที่มีภูมิอากาศแบบร้อนขึ้น และมีฝนตกซึ่งก็เหมาะกับ Tropical style รูปแบบที่เรามักเห็นกันบ่อยๆที่นำมาใช้ในการตกแต่งคือ สไตล์บาหลี การมุงหลังคาด้วยหญ้า มีการตกแต่งสวนแบบบาหลี การใช้น้ำเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ เพราะจะได้ความเป็นธรรมชาติและความสดชื่น วัสดุส่วนใหญ่จะโชว์โครงสร้างหลังคาที่ทำด้วยไม้ หรือกรุด้วยวัสดุสานจากธรรมชาติเช่น ผิวไผ่ พื้นกระเบื้องซีเมนต์ หรือดินเผาธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนทำจากไม้ผสมผิวไผ่และหวายซึ่งบางตัวได้รับอิทธิพลจากชาวดัตช์ ผ้าบุใยธรรมชาติโคมไฟเหล็กหล่อหรือทองเหลือง โดยรวมของบรรยากาศจะรู้สึกสบาย น่าพักผ่อน ไม่ดูเป็นทางการ แนวทางการตกแต่งแบบ Tropical style ต้องคำนึงถึงเรื่องของธรรมชาติที่เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศ เน้นเรื่องของแสงสว่างจากแสงธรรมชาติเน้นสัจจะของวัสดุ ไม้ หิน และผ้าที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติ
Modern style
เริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคปฏิบัติอุตสาหกรรม ซึ่งในยุคนั้นเป็นการเสาะแสวงหาความเรียบง่าย อยู่ในยุคนี้ผู้คนต้องการความสะดวกสบายความรวดเร็ว และต้องการที่จะนำวัสดุใหม่ๆมาใช้แทนวัสดุแบบเดิมๆ ซึ่งวัสดุส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในยุคนี้ เช่น stainless อะลูมิเนียม หินแกรนิต หรือ หรือวัสดุที่มีความมันวาว ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความทันสมัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้แพร่กระจายไปยังศิลปะแขนงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน งานศิลปะภาพเขียนของศิลปิน หรือ แม้กระทั้งเครื่องแต่งกาย มีการลดทอนรายละเอียด ของงานประดับตกแต่ง นำเส้นสายแบบกราฟิกมาใช้ล้วนแต่ตอบสนองยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ปัจจุบันงานสไตล์ Modern ยังเป็นที่นิยมอยู่และได้มีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตให้รูปแบบของงานมีความแตกต่างจากแต่ก่อน แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้นแบบในยุคแรกของ Modern ก็ยังถูกนำมาเป็นแม่แบบให้กับคนรุ่นปัจจุบัน อีกทั้งยังนำรูปแบบของงานสไตล์อื่นๆมาผสมกับ Modern เพื่อให้เกิดรูปแบบผสมผสานให้เข้ากับรสนิยม
หลักง่ายๆสำหรับผู้ที่ต้องการตกแต่งรูปแบบทันสมัยนี้อย่างแรกลองปรับโทนสีภายในห้องอย่างผนังกับฝ้าเพดานให้เป็นสีขาว ทำการปรับเรื่องของแสงที่ฝ้าเพดานในแบบ In Directight เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น โดยยึดเส้นลายของรูปแบบเฟอร์นิเจอร์แบบกราฟิก โดยบางชิ้นมีส่วนประกอบของโลหะมันวาว เช่น stainless และคุมโทนสีของเฟอร์นิเจอร์ในโทนเทา ขาว และดำ แต่อาจมีสีสันของของประดับตกแต่ง เช่นกรอบรูปภาพ แจกัน หรือพรม ก็จะได้งานที่มีลักษณะ Modern style แบบเบื้องต้นง่ายๆด้วยตนเอง
Classic style
หรือบางที่เรียกว่า Traditional Style เป็นสไตล์ที่รู้จักกันดีของผู้นิยมตกแต่งบ้านบรรยากาศหรูหรา เป็นสไตล์ที่เกิดขึ้นกับยุคที่เกิดการฟุ่มเฟือย โดยมากจะพบเห็นในบ้านของผู้ที่มีศักดินา ชนชั้นสูง มีการตกแต่งประดับประดา คิ้วบัวที่มีความสลับซับซ้อน ทั้งฝ้าเพดาน ผนัง รวมทั้งรูปทรงของเฟอร์นิเจอร์ที่บ่งบอกถึงยุคสมัย อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์หรือตราประจำของแต่ละสถานที่ซึ่งบ่อบอกถึงฐานะและบรรดาศักดิ์
ลักษณะเด่นของงาน Classic style ถ้าเป็นงานไม้ จะมีการกลึง เซาะร่อง และแกะรายละเอียด มีการย้อมสีไม้ที่เน้นงานประณีพ มีการโชว์ลายไม้หรือทำให้ดูเก่าผสมทองแบบมีสไตล์ มีการใช้ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่ Texturecc และลวดลายชัดเจน หรือใช้หนังแท้ผสมผสานกับการตอกหมุดทองเหลืองซึ่งเป็น Detail ของรูปแบบเฉพาะถ้าเป็นงานตกแต่งเน้นสีโทนสว่าง เช้น การใช้สีพ่นซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการทำหลายขั้นตอน หลายกระบวนการ จนได้ผิวสัมผัสที่เรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน งานพื้นถ้าเป็นหินก็จะใช้หินอ่อนหรือหินแกรนิตมาตัดทำลายให้สอดคล้องกับพื้นที่ห้องและฝ้าเพดาน หรือเรียกว่า inlay ในปัจจุบันมีการทำเป็นชิ้นสำเร็จรูปให้เลือกใช้ได้อย่างสะดวง มีการใช้ม่านที่จับจีบระบาย หรือกุ๊นด้วยเชือกเกลียวอย่างเข้าชุดกัน
ผู้ที่ชื่นชอบในการตกแต่งแบบ Classic style คงต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการดีกรีความชัดเจนขนาดไหนและอีกทั้งต้องคำนึงถึงผัจจัยหลายๆอย่างที่มาประกอบกันเพื่อให้เกิดความลงตัว และเหมาะสม
Heritage style
เป็นรูปแบบการตกแต่งที่เกิดจากรสนอยมของผู้ที่ชื่นชอบความหรูหราความภูมิฐาน และมีรสนิยมในการเลือกใช้ของที่ดูดีมีระดับ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะในรูปแบบของการตกแต่ง จะไม่เจาะจงว่าของใช้ทั้งหมดต้องเป็นยุคเดียวกันเท่านั้นอาจจะมาจากยุคที่มีความคลาสสิกก่อนหน้านั้นแต่ยังเป็นที่นิยมกันอยู่ และเป็นของที่มีคุณค่าทางด้านจิตใจ มีความเป็นศิลปะผสมผสานอยู่ด้วย การตกแต่งแบบเฮอริเทจเป็นแนวที่ผสมกันระหว่าง Classic กับ Oriental ซึ่งบ่งบอกถึงความหรูหราและวัฒนธรรมทางสังคมด้วยรูปแบบที่มีความปราณีตในการทำอย่าง โซฟาที่มีการบุเดินตะเข็บอย่างละเอียด และหมอนอิงที่เข้าชุด โคมไฟระย้า โคมไฟติดผนัง หรือแม้กระทั่งเชิงเทียน เพราะที่ประณีตในการเจียระไนคริสตัลแต่ละเม็ดให้มีรูปทรงรับกันกับฐานโคม โทนสีของผนังจะออกแนวอบอุ่น และดูสง่าไปในตัว คือ โทนสีเหลืองอมน้ำตาล สีครีม หรืออาจจะใช้สีที่ดูเข้ม อย่าง สีน้ำตาล เพื่อช่วยรับประกายของแสงที่กระทบกับทองเหลือง หรือแก้วเจียระไน ฉะนั้น ห้องที่ประดับตกแต่งแบบเฮอริเทจ จึงเป็นตัวอย่างของการตกแต่งที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคม แสดงถึงความสง่างาม ความเป็นผู้มีรสนิยม อีกทั้งยังบ่งบอก จะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชิ้นงานศิลปะภายในห้องนั้นได้อีกด้วย
แนวทางการตกแต่ง Heritage Style เริ่มแรก ต้องศึกษาเรื่องของยุคสมัย ทั้งด้านประวัติศาสตร์ และเฟอร์นิเจอร์ ในยุคนั้นๆ รวมถึงผู้คนในช่วงนั้น ว่ามีการดำเนินชีวิตอย่างไร แต่งกายแบบไหน และมีการติดต่อกับชาติใด เพื่อให้รู้สึกถึงความเป็นมาของทุกอย่าง และเป็นข้อมูลในการนำมาใช้ตกแต่งได้ดียิ่งขึ้น
Simplicity style
หรือ simplicity style คืองานตกแต่งที่สะท้อนถึงบุคลิกของผู้อยู่อาศัยได้ มีรูปแบบที่ต่อมาจากยุคของผู้ที่นิยมตกแต่งแบบมินิมัลลิสม์ ที่มีความเรียบง่ายเหมือนกันแต่ไม่มุ่งเน้นเกี่ยวกับเส้นสายของงานโมเดิร์น และให้ความสำคัญกับการคุมโทนกับวัสดุ ธรรมชาติ จึงมีความเรียบง่าย สบายๆ ดูเรียบร้อยการใช้พื้นที่วางให้เกิดประโยชน์และตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่จริงๆดูไม่ฟุ้งเฟ้อ บางครั้งยังดูสงบ ความเรียบง่ายที่แฝงด้วยประโยชน์ใช้สอยอย่างครบครันเน้นการจัดพื้นที่ใช้สอยให้เอื้อต่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงเน้นการใช้เครื่องเรือนที่ไม่มากชิ้น เหมาะสมกับพื้นที่ simplicity style จึงเป็นรูปแบบเรียบง่ายที่ตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่อย่างแท้จริง
แนวทางการตกแต่งแบบ simple style การเลือกเครื่องเรือนที่มีสองฟังก์ชันในตัวเดียวกัน สามารถเคลื่อนย้าย ปรับเปลี่ยนมุมได้ การผสมผสานเครื่องเรือนในแต่ละยุคหรือเครื่องเรือนเก่าที่นำมาดัดแปลงใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพิ่มได้ และยังสามารถนำเอาเครื่องใช้หรือของประดับตกแต่งมาประดิษฐ์หรือปรับให้เกิดประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น สามารถสร้างความรู้สึกและความสวยงามให้กับงานตกแต่งได้ อีกทั้งยังแสดงถึงบุคลิกของผู้เป็นเจ้าของได้อีกด้วย
Minimal style
ให้คำจำกัดความอีกอย่างว่า น้อยแต่มากน้อยในที่นี้คือไม่ยัดเยียด ตามความจำเป็นและประโยชน์ตามความเหมาะสม มากคือมากด้วยความรู้สึกและตอบสนองประโยชน์วิถีแห่งความสุขได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งงานแบบ Minimal จะมีลักษณะเรียบง่าย มีโทนสี แบบโมโนโทน มีเส้นสายตรงไปตรงมา เน้นลักษณะเด่นของวัสดุแต่ละแบบที่นำมาตกแต่งภายใต้ความเรียบง่ายและสมดุลกันระหว่างสถานที่กับผู้อยู่อาศัย
งานแบบ Minimalลักษณะรูปทรงจะมีลักษณะคล้ายกับรูปแบบ Modern แต่ Function และรายละเอียดที่แบ่งไว้จะถูกซ่อนอยู่ทุกจุด ซึ่งบางครั้งอาจดูไม่รู้ถ้าไม่ได้สัมผัส อีกทั้งยังรู้สึกถึงความผ่อนคลาย (Comfort) โล่งสบาย งานแบบ Minimal เป็นเสมือนผู้ที่คลั่งไคล้ความทันสมัยและบ่งบอกความมีสไตล์
Industrial style
เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นราวปีค.ศ. 1970 ในนิวยอร์ก ซึ่งรูปแบบของการตกแต่งจะเป็นลักษณะลอฟต์ มีลักษณะเหมือนโรงงาน หรือโกดัง ซึ่งมีพื้นที่โล่ง มีการโชว์โครงสร้างซึ่งโดยรวมแล้วเน้นการโชว์เนื้อแท้ของวัสดุอุปกรณ์ให้เห็นขั้นตอนการเดินท่อ ลักษณะการจัดวางแบบ open space ถ้าจะให้นึกถึงภาพที่ชัดเจนขึ้น ให้นึกถึง ศิลปินวาดภาพที่มีสตูดิโอเขียนภาพ โครงสร้างโดยรวมจะเป็นเหล็กกับกระจก มีแสงผ่านเข้ามา พวกเครื่องเรือนจะมีการผสมผสานระหว่างยุคเข้าไว้ด้วยกัน การใช้โซฟา บุหนังแท้กับบเหล็ก โคมไฟรูปแบบเรียบง่าย โดยยึดโครงรูปทรงเรขาคณิตเป็นหลัก อีกอย่างที่เป็นเสน่ห์ของรูปแบบนี้ก็คือ การโชว์ผนังเปลือยหรือโชว์แนวก่ออิฐเก่าๆ ให้มีลักษณะเหมือนโรงงาน ปัจจุบันนี้มีผู้นิยมตกแต่งแบบ Industrial Style ในคอนโดมิเนียม ซึ่งได้อารมณ์ของความเป็น Industrial เนื่องจากมีงานระบบโชว์อยู่ให้เห็น เป็นการสร้างความสมบูรณ์ให้กับงานตกแต่ง
แนวทางสำหรับการตกแต่ง ต้องไม่ปิดฝ้าเพดาน โชว์ความเติบของโครงสร้าง ถ้าเป็นพื้นไม้เดิมต้องขัดลอกผิวเดิมออกแล้วเคลือบผิวแบบด้าน หรือทาสีดำ รูปแบบของโคมไฟมีลักษณะกึ่งใช้ภายนอก มีโลหะผสมเป็นอุปกรณ์ เฟรมประตู หน้าต่าง หรือผนังกั้นห้องเป็นเหล็กกับกระจกใส เฟอร์นิเจอร์ประเภทโลหะในยุค 50s-70s หรือผสมกับตู้แบบเรโทร การบุโซฟาด้วยหนังแท้ สีน้ำตาล หรือกำมะหยี่ ก็สามารถบ่งบอกความมีรสนิยมได้
Scandinavian style
เป็น style ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์แบบ Scandinavian นี้ได้รับอิทธิพลแลแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า Organic Form จึงทำให้เส้นสายออกมาดูนุ่มนวลกว่างาน Modern และยังเป็นจุดเรียกทางด้านการออกแบบFlexible Design หรืออาจจะกล่าวได้ว่าให้ความสำคัญการยืดหยุ่นมาเป็นแนวทางในการออกแบบ จึงเกิดรูปแบบที่อิสระ อีกหนึ่งความสำคัญของ Scandinavian Style ก็คือความเป็น Modular Scandivian style มักจะถูกนำมาผสมผสานการตกแต่งที่มีลวดลายแนว Retro ในโทนสีพาสเทล ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีความทันสมัยอยู่ในตัวแต่ยังชอบความย้อนยุคที่สามารถร่วมสมัยได้ จึงเป็นอีกสไตล์หนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แนวทางตกแต่งแบบ Scandinavian Style การจัดวางเฟอร์นิเจอร์จะไม่มุ่งเน้นความสมดุลของจังหวะของคู่สีที่ใช้การจัดแสดงของสะสมในยุคที่บ่งบอกสไตล์ในตู้โชว์สไตล์เรโทร
Oriental style
ซึ่งหมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกับชาวตะวันออก เป็นประเทศในเขตที่มีความลงตัว สอดคล้องกับหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ด้วยสภาพภูมิอากาศ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ อีกทั้ง คติความเชื่อในเรื่องราวของศาสนา และวัฒนธรรมที่หล่อหลอมและซึมซับ อยู่ในตัวจนแยกไม่ออก ดังจะเห็นได้ว่า ความเป็น Oriental ได้สื่อออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม และสัมผัสได้ จะเห็นได้จากรูปแบบของสถาปัตยกรรมของภูมิภาคแถบเอเชีย จะมีความสอดคล้องกับผู้อยู่ รูปแบบของเครื่องเรือนที่สื่อออกมาตอบสนองการใช้แล้ว ยังแสดงถึงวัฒนธรรมของชาติ โดยผ่านลวดลายที่ปรากฎลงบนเฟอร์นิเจอร์ คติทางด้านการจัดวางตามศาสตร์ความเชื่อ ทุกอย่างผ่านการไตร่ตรอง ปัจจุบัน แม้จะมีการรับเอารูปแบบอาคารทางตะวันตกเข้ามา แต่ความเป็น Oriental ก็สามารถที่จะปรับให้เข้ากับยุคสมัย โดยยังยึดหลักและแนวทาง ปรัชญาด้านความเชื่อ ทำให้เกิดรูปแบบที่เหมาะสมและลงตัวในชีวิต นั่นคือ วิถีของชาวตะวันออกอย่างแท้จริง
แนวทางการตกแต่งแบบ Oriental สามารถสร้างบรรยากาศได้หลากหลาย การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของประดับตกแต่ง ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์สไตล์จีน สีทึบ และไม่มีลวดลายมาก เลือการบุเฟอร์นิเจอร์ด้วยไผ่ไหมสีเรียบ โดยอาจมีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไผ่ หรือหวายในรูปทรงแบบคลาสสิก และเสริมด้วยของประดับตกแต่ง ที่ผสมความเป็นจีนที่ฐานเซรามิก และโปะผ้าไหม ก็จะช่วยเสริมความเป็น Oriental ได้อย่างมาก
Country Style
คงต้องนึกถึงบ้านแถบชนบทในหนังฝรั่ง เรามักจะเห็นบ้านสไตล์คันทรีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งลักษณะรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ บ่งบอกความเป็นสไตล์อย่างเด่นชัด และมักจะถูกนำมาตกแต่งตามที่พักตากอากาศ ชนบท หรือรีสอร์ทในอดีต Country Style เป็นรูปแบบที่ถูกตัดทอนรายละเอียด ลงจาก Classic Style มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างการย้อมไม้ ให้มีลักษณะโชว์ลายเสี้ยน และมีผิวที่หยาบ หรือ Rustic กว่ามักจะเห็นม่านผ้าครึ่งหน้าต่าง ผ้าปูโต๊ะต่อลาย (Quilt) หรือภายในครัว ก็จะโชว์หรือแขวนตระกร้าสาน มีลักษณะรูปแบบการตกแต่งอีกแบบที่คล้ายกับ Country แต่จะใหญ่กว่าและมีการประดับตกแต่งที่รกกว่าคือ Fram House หรือบางทีเรียกว่า Rustic
การตกแต่งแบบ Country Style สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ เราจะแต่งที่ไหน สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือเพื่อตกแต่งในบ้านพักผ่อน เพราะต้องปรับให้เข้ากับการใช้ชีวิตจริงๆ ที่กล่าวถึงเรื่องของสถานที่ก่อน เพราะวัสดุบางชนิด ในการตกแต่งอาจจะไม่เหมาะสมกับบางสถานที่ ยากในการดูแลและใช้งาน เช่น การใช้วัสดุไม้จริง หรือหินธรรมชาติ ที่มีพื้นผิวขรุขระ ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องของความชื้น น้ำหนัก และฝุ่น บรรยากาศโดยรวม คือความเป็นธรรมชาติ ที่สัมผัสได้ และความเรียบง่าย ของเครื่องเรือน ที่ดูสมถะ ไม่เนี้ยบมาก ทำสีด้าน (เคลือบด้าน) โทนสีหลัก คือ แนวเอิร์ธโทน (แนวสีธรรมชาติของเนื้อวัสดุ) และผ้าที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติ
Mexican style
คือรูปแบบการตกแต่งที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบทวีปอเมริกา ในประเทศไทยเม็กซิโก ซึ่งมีเอกลักษณะเฉพาะตัว ลักษณะที่โดดเด่นนั้นคือ สีสันที่นำมาใช้ผสมผสานกับวัฒนธรรมคนพื้นเมือง และศิลปะของชนชาติอื่นที่ส่งอิทธิพลมาถึง อย่างเช่นสเปน และยังมีส่วนผสมของศิลปะศาสนาคริสต์ การใช้สีของสไตล์เม็กซิกันนี้จะมีคู่สีจัดจ้านกว่าแบบ Mediterranean คู่สีมีความตัดกันมาก แต่ดูสวยซึ่งแฝงไว้ด้วยความเชื่อของชนเผ่าพื้นเมือง สิ่งของที่ใช้ในการประดับตกแต่งจะเป็นแนว Russtic ซึ่งเกิดจากจิตวิญญาณในความเชื่อของชนเผ่าพื้นเมือง อย่างเช่นหน้ากากรูปแบบต่างๆ ซึ่งนิยมใช้ประดับติดผนัง และยังมีการประดับจัดวางด้วยตุ๊กตาชนเผ่าพื้นเมืองหรือเทพที่เคารพ เครื่องเรือนจะมีรูปแบบเรียบง่าย ใช้วัสดุ เช่น ไม้ และหวายเป็นตัวยึดถักกัน
แนวทางการตกแต่งแบบ Mexican style ต้องกล้าใช้สีที่แรงๆเพราะลักษณะเด่นของ Mexican อยู่ที่สีสันที่ดูสนุกสนาน ลักษณะเด่นที่สังเกตได้อีกอย่างในการตกแต่งสไตล์นี้ คือ การแกะสลักแบบแฮนเมดลงบนเฟอร์นิเจอร์ และของประดับตกแต่ง และการเขียนสีลงในร่องแกะ หรือเทคนิคการทำสีเก่า ซึ่งบรรยากาศจะบ่งบอกถึงความสนุกของการใช้สี แล้วยังแฝงไว้ถึงความลึกลับอีกด้วย การจัดวางต้นไม้ประดับพวกกระบองเพชรในกระถางเขียนสี พรม หนังสัตว์ และผ้าบุลวดลายพื้นเมือง ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศได้ง่าย
Culture Style
เป็นแนวทางการตกแต่งที่ดึงรากฐานของวัฒนธรรม ประเพณีหรือวิถีของความเป็นชาตินั้นๆ ซึ่งแนวทางนี้อาจผสมผสานอยู่ในแนวการตกแต่งหลายสไตล์ อย่าง Contemporary Style, Classic Style หรือ Oriental Style อย่างที่กล่าวมานั้น สไตล์การตกแต่งจะนำเอา Detail Pattern ที่บ่งบอกหรือแสดงความเป็นมาของวัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งเราสามารถศึกษาได้จากลวดลาย บางครั้งมีการนำคติ ความเชื่อ มาใช้ในการจัดตำแหน่ง ฟังก์ชันให้ตอบสนองความเชื่อ และความสุขทางใจ ปัจจุบันเราอาจจะคุ้นในเรื่องการใช้ฮวงจุ้ยกับงานตกแต่ง ซึ่งสอดแทรงอยู่ในแนวการตกแต่งหลายสไตล์
แนวทางการตกแต่งแบบ Culture Style จะต้องศึกษาถึงประวัติของศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เพื่อความถูกต้องเหมาะสมกับการนำมาใช้ และยังต้องคำนึงถึงหลักการของศาสนาด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก
Contemporary Style
ซึ่งดูเหมือนจะกว้างมากในการสื่อถึงการตกแต่งภายใน แต่ความจริงแล้วการตกแต่งแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาอะไรก็หลากหลายแบบมารวมกันอยู่ภายในห้อง แล้วเรียกว่า ContemporaryStyle
Contemporary Style คือการผสมผสานกันระหว่างรูปแบบของการตกแต่งและความร่วมสมัยของเฟอร์นิเจอร์ในยุคนั้น ซึ่งนำมาตกแต่งเข้าด้วยกันภายในห้องอย่างเหมาะสมและลงตัวในจังหวะการจัดวางและองค์ประกอบโดยรวมภายในห้อง อย่างที่กล่าวมาแล้วตอนต้นว่าที่เรามักจะพบเห็นบ่อยๆ หรือเรียกสรุปแบบนี้ เช่น Nodern Contemporary style, Chinese Contemporary style, Thai Contemporary style ซึ่งก็มีอีกมากที่เรามักพบเห็นเพื่อความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวทางการตกแต่ง Thai Contemporary Styleใน Living Room บนคอนโดมิเนียมซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองในปัจจุบัน ถ้าย้อนไปในอดีต รูปแบบเฟอร์นิเจอร์ไทยมักจะมีแต่ตู้ทรงสอบแบบตู้พระธรรม มีบใส่ของที่สมัยก่อนใช้ใส่ทรัพย์สมบัติหรือใช้แทนกระเป๋าเดินทางมีตั่งซึ่งก็ใช้แทนเก้าอี้เฉพาะผู้มียศหรือเจ้านายเท่านั้นจึงจะมีสิทธินั่งได้ คนทั่วไปก็จะนั่งพื้นหรือมีเบาะรองนั่ง จวบจนได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก ก็ได้มีการรับเอาวัฒนธรรมเข้ามาผสมกับความเป็นไทย จึงออกมาในรูปแบบของเก้าอี้นั่ง แต่มีขาเปา ขาคู้ และแกะลายไทย เป็นละเอียดที่นำมามาผสมกันจนเกิดเป็นงานชิ้นใหม่ขึ้น ซึ่งก็มาสามารถเรียกได้ว่า Contemporary หรือนำเอา pattern ของลายฝาปะกนบ้านไทยมาใช้กับงานผนังตกแต่งภายในห้อง การนำตั่งแบบจัตุรัสใช้เป็นโต๊ะกลาง หรือตู้โทรทัศน์ ที่ประยุกต์รูปทรงของตู้พระธรรมกับบานประตูลั่นดานของบ้านทรงไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่ารูปแบบของเฟอร์นิเจอร์นั้นถูกนำเอาความเป็นไทยในส่วนต่างๆ มาผสมผสานกับในรูปแบบการใช้งานที่ตอบสนองวิถีชีวิตในปัจจุบัน แต่ยังแฝงกลิ่นอายไทยไว้ ซึ่งเรียกว่า Thai Contemporary Style
ที่มาจาก ขอขอบคุณ dek-d.com